เราทุกคน คงล้วนเคยได้ยินข่าว นักลงทุน เล่นหุ้น ล้มละลายขายบ้านไม่มีที่อยู่ มีหนี้ที่มากมายที่มาจากการเล่นหุ้น หรือ หุ้นหล่นบริษัทล้มละลายทยอยกันปิดตัว ไล่พนักงานออกอะไรต่างๆ แต่แล้วทำไมยังมีนักลงทุนหน้าใหม่ มีหนังสือสอน เล่นหุ้น เล่มใหม่ๆทยอยกันออกมาอย่างไม่ขาดสายแถมยังเป็นหนังสือขายดี นั้นแปลว่าคนส่วนใหญ่ยังพยายามศึกษาและทยอยกันเล่นหุ้นกันเรื่อยๆโดยที่ไม่เกรงกลัวกับข่าวที่เคยได้ยินมา เพราะข่าวล้มละลายต่างๆที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่นั้นเรียนรู้และจะพยายามศึกษาหาข้อมูลต่างๆมากมาย เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดแบบที่เคยเกิดอีกหรืออีกนัยหนึ่งคือเรียนรู้จากความผิดพลาดจากสิ่งที่เคยเกิด และหนังสือเล่นหุ้นสมัยใหม่ก็ได้สอนเทคนิคการเล่นหุ้นแบบต่างๆ ทำให้หุ้นที่เราเคยมองและคิดว่านั้นเป็นสิ่งที่น่าวุ่นวายปวดหัวนั้น กลับกลายเป็นอะไรที่ง่ายๆ บางคนเล่นหุ้นเป็นงานอดิเรก บางคนเล่นหุ้นเป็นอาชีพ บางคน เล่นหุ้นแค่รอปันผลเล็กๆในตอนนี้โดนที่เขาฝันไว้ว่ามันจะเติบใหญ่ในวันข้างหน้า
การ เล่นหุ้น เหมือนการปลูกต้นไม้ เราต้องเริ่มจากเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดีและแข็งแรง และต้องศึกษาส่วนประกอบต่างๆของเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก่อนนำไปปลูกการ เล่นหุ้นให้ประสบความสำเร็จนั้นก็เช่นกัน เราต้องศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวของของตัวหุ้นนั้นๆ อาทิเช่น สภาพแวดล้อม การซื้อขาย ภาวะเศรษฐกิจ องค์ประกอบภายในบริษัทเสียงตอบรับจากคนอื่นๆและอะไรหลายๆอย่างอีกมากมาย ก่อนที่จะลงทุนซื้อหุ้นเพื่อหวังผลกำไร การศึกษาหาข้อมูลการ เล่นหุ้น ต่างๆในยุคนี้ ยุคที่โลกเปิดกว้างไร้ซึ่งขอบเขต ฉะนั้นคงไม่ยากเท่าไหร่ที่จะศึกษา แต่สิ่งที่ยากนั้นคือตัวเราเองว่าจะดูแลหุ้นตัวนั้นของเราและบริหารการซื้อขายหุ้นตัวนั้นได้ดีมาน้อยแค่ไหน ซื้อขายหุ้นอย่างไรไม่ให้ขาดทุนและได้กำไรมากที่สุด
เราสามารถศึกษาหาข้อมูลจากหนังสือ การไปสัมมนา การพบปะพูดคุยกับนักเล่นหุ้นคนอื่นๆเพื่อขอประสบการณ์คำแนะนำหรืออีกวิธีหนึ่งที่นักลงทุนหน้าใหม่หรือนักเล่นหุ้นมือใหม่นั้นชอบทำก็คือ การศึกษาและเล่นตามนักเล่นหุ้นรุ่นใหญ่ นักลงทุนรุ่นใหญ่ลงตัวไหน ซื้อหุ้นตัวไหนเราซื้อตาม แล้วค่อยศึกษาและเรียนรู้วิธีการเล่นจากนักลงทุนรุ่นใหญ่ไปเรื่อยๆ วิธีนี้ถือว่าเป็นทางลัดของนักลงทุนหน้าใหม่และทำให้นักลงทุนหน้าใหม่มองเห็นว่าหุ้นนั้น ไม่ได้เล่นยากอย่างที่คิด
High Risk High Return ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนก็ยิ่งสูง เป็นคำพูดที่เราใช้ได้เสมอกับนักลงทุนทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่
สิ่งที่ควรรู้ปัจจัยพื้นฐานของนักลงทุนเล่นหุ้น
เศรษฐกิจคำนี้คือคำที่เราได้ยินบ่อยมากที่สุด เศรษฐกิจตกต่ำ เศรษฐกิจฟื้นฟู เศรษฐกิจซบเซา ซึ่งเศรษฐกิจเมืองไทยในหลายๆครั้งมักไหลและขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจของตลาดโลก เพราะตลาดหุ้นบ้านเรานั้นมีขนาดเล็กและพื้นฐานเศรษฐกิจบ้านเรายังต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก จึงไม่ค่อยมีผลต่อการซื้อขายของตลาดโลกและไม่มีผลกระทบมากพอที่จะผลักดันเศรษฐกิจโลกได้และถ้าหากเศรษฐกิจโลกมีปัญหา เศรษฐกิจบ้านเราก็อาจมีปัญหาตามไปด้วยเช่นกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือ ภาวะตลาดหุ้นในแต่ละวันของบ้านเรามักจะขึ้นหรือลงตามตลาดหุ้นเมืองนอก ตลาดหุ้น Dow Jones เป็นตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกา ตัวเลขการขึ้นลงของดัชนีดาวโจนส์จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นบ้านเราพอสมควร เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศใหญ่ มีความต้องการบริโภคค่อนข้างมาก หากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาไม่ดีอาจทำให้การบริโภคของคนในประเทศสหรัฐอเมริกาลดลง จนมีผลทำให้ธุรกิจทั่วโลกมียอดขายลดลงตามไปด้วย ราคาน้ำมัน (MYMEX) คือราคาน้ำมันที่ซื้อขายกันในตลาดสหรัฐอเมริกาจะมีผลต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานค่อนข้างมาก หากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นแพงขึ้น อาจทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรหุ้นพลังงานที่เกี่ยวกับน้ำมัน หรือสินค้าที่ทดแทนน้ำมันได้ค่อนข้างมากอย่างเช่นถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้หุ้นพลังงานในบ้านเรายังมีผลต่อตลาดหลักทรัพย์ เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนกับทุกกลุ่มธุรกิจอื่นๆแล้ว กลุ่มพลังงานถือว่าสูงที่สุด
ดัชนีค่าระวางเรือ (BDI หรือ Baltic Dry lndex) เป็นดัชนีที่ใช้ดูค่าระวางเรือของเรือเทกอง(เรือที่ทราย อิฐ ปูน)ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงในแต่ละวันเป็นอย่างไรหากปรับตัวเพิ่มขึ้นมากแสดงว่าความต้องการใช้เรือเทกองมีมากขึ้น จะมีผลในทางบวกกับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเรือเทกอง ซึ่งวิธีการเล่นหุ้นให้ประสบความสำเร็จนั้น ยังมีเราต้องดูปัจจัยต่างๆรอบกายเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นๆ และอีกสิ่งหนึ่งที่เราขาดไม่ได้คือกฎอุปสงค์และกฎอุปทาน
ซึ่งกฎอุปสงค์และกฎอุปทานนี้ เป็นหลักการที่อธิบายเกี่ยวกับการซื้อขายสิ่งของต่างๆบนโลก โดยกฎอุปสงค์จะดูที่ความต้องการซื้อสินค้าตัวนั้น เมื่อราคาสินค้าลดลงอุปสงค์หรือความต้องการซื้อก็จะมีมากขึ้น และกฎอุปทานจะเกี่ยวกับความต้องการขาย เมื่อราคาสินค้านั้นสูงขึ้น อุปทานหรือความต้องการขายก็จะมากขึ้น
ช่วงเวลาของการเล่นหุ้น
ช่วงเวลาของการเล่นหุ้นนั้นก็สำคัญไม่ใช่ว่าหุ้นทุกตัวจะเคลื่อนไหวขึ้นลงไปพร้อมๆกัน การเล่นหุ้นในแต่ละวันนั้นมักขึ้นลงตามตลาดหุ้นเมืองนอก อาทิเช่น ตลาดหุ้นเปิดช่วงเช้า เมืองไทยจะดูตลาดหุ้นแถบเอเชีย เช่นสิงคโปร์หรือฮ่องกง เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่เน้นการส่งออก นั้นก็คือถ้าเศรษฐกิจเพื่อนบ้านเราดี เราก็สามารถคาดเดาได้ว่าการส่งออกสินค้าและการซื้อขายสินค้าจากประเทศเราก็ดีเช่นกัน หลังจากตลาดเปิดช่วงบ่ายไปซักช่วงเวลาหนึ่ง ตลาดหุ้นในประเทศแถบยุโรปก็เริ่มเปิดตัวซื้อขายพอดี ทำให้เราต้องไปดูแนวโน้มตลาดหุ้นยุโรปและตลาดหุ้น Dow Jones แทน